ชา สุดยอดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ที่เราคิดว่า ไม่ดี
ว่ากันว่าเครื่องดื่มที่มีคนดื่มมากที่สุดในโลกเป็นอันดับสองรองจากน้ำเปล่าก็คือ “ชา” ในแต่ละวันผู้คนบนโลกดื่มชามากถึง 18,000 – 20,000 ล้านถ้วยเลยทีเดียว หากจะจัดหมวดหมู่ของชา โดยมากมักแบ่งเป็น 3 ประเภทคือชาเขียว (ชาญี่ปุ่น) ชาดำ (ชาฝรั่ง) และชาอู่หลง (ชาจีน) แต่ยังมีชาอื่นที่น่าพูดถึง เช่น ชาขาว และชาสมุนไพรต่างๆ มาดูกันวาชาแต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร
เริ่มที่
ชาขาว ถือเป็นสุดยอดชาเนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุดในบรรดาชาทั้งหมด จึงเหมาะที่จะดื่มเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ชาขาวเป็นชาที่ได้จากการเก็บยอดที่อ่อนมากๆ และยังมีขนเล็กๆ สีขาวปกคลุมอยู่ นำมาผ่านกระบวนการหมักบ่มเพียง 10-20% ชาขาวมีกาเฟอีนประมาณ 6-25 มิลลิกรัมต่อถ้วย มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าชาเขียวประมาณ 3 เท่า และรสชาติอ่อนละมุนกว่า
- ชาเขียว เป็นชาที่ไม่ผ่านการหมักบ่มจึงทำให้คงสีสันและรสชาติเดิมของใบชาไว้ ยอดชาเมื่อถูกเก็บใหม่ๆ จะนำมาผ่านความร้อนเพื่อหยุดยั้ง Oxidation หรือปฏิกิริยาเคมีอันเกิดจากการรวมตัวกับออกซิเจน ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวจะทำให้ลักษณะของชาเปลี่ยนไป ชาเขียวเป็นอีกชาที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และมีกาเฟอีน 15-30 มิลลิกรัมต่อถ้วย
- ชาอู่หลง เป็นชากึ่งหมักบ่ม และมีคุณสมบัติผสมผสานกันระหว่างชาเขียวกับชาดำ ชาอู่หลงให้ความหอมกรุ่นไม่ต่างจากชาเขียวแต่รสชาติเข้มข้นเท่าๆ ชาดำ ส่วนชาดำเป็นชาหมักบ่ม 100% เป็นชาที่มีกาเฟอีนสูงสุดเฉลี่ย 40-60 มิลลิกรัมต่อถ้วย ทั้งชาขาว ชาเขียว ชาอู่หลง และชาดำเป็นชาที่ได้จากต้นชาเพียงแต่กระบวนการผลิตอาจจะไม่เหมือนกันและมีกาเฟอีนไม่เท่ากัน
- ชาสมุนไพร เป็นชาที่ได้จากดอก ราก ใบ และลำต้นของพืชที่ไม่ใช้ต้นชา ส่วนใหญ่จะเป็นชาที่ไม่มีกาเฟอีน เช่น ชาคาโมมายล์ ชาเปปเปอร์มินต์ ชาผลกุหลาบ ชาใบหม่อน น้ำโสม น้ำขิง น้ำตะไคร้ น้ำเก๊กฮวย น้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะตูม เหล่านี้ถือเป็นชาสมุนไพรได้ทั้งนั้น ชาสมุนไพรจะให้สรรพคุณแตกต่างกันไป แล้วแต่ชนิดของพืชที่นำมาผลิตเป็นชา
ชา...นอกจากจะเป็นเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกยังถือเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอีกด้วย ไม่เพียงแต่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย สารโพลีฟีนอลในชายังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงในการเกิดหลอดเลือดอุดตัน บรรเทาอาการหอบหืด ลดความเสี่ยงมะเร็ง ชาอาจจะมีประโยชน์ แต่ข้อเสียก็มีบ้างเหมือนกัน เช่น ในชามีสารแทนนินที่ลดการดูดซึมธาตุเหล็ก ดังนั้น คนที่รับประทานมังสวิรัติอาจต้องระวังนิดหนึ่ง ในชามีกาเฟอีนซึ่งมีคุณสมบัติขับปัสสาวะ เมื่อปัสสาวะบ่อยก็ทำให้ร่างกายขาดน้ำ เมื่อร่างกายขาดน้ำก็อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ ข้อเสียอีกอย่างของชาคือมีกาเฟอีนกระตุ้นประสาท อาจทำให้นอนไม่หลับได้ในบางคน
ชาอาจจัดเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ แต่ควรดื่มให้พอดี อย่างถึงกับดื่มแทนน้ำเปล่า เพราะร่างกายยังต้องการน้ำเปล่าวันละประมาณ 2 ลิตร เพื่อขับพิษออกจากร่างกาย ชาแต่ละชนิดให้ผลแตกต่างกันไป เวลาดื่ม ลองสังเกตตัวเอง หากรู้สึกไม่สบายตัวหรืออึดอัดให้งดชาชนิดนั้น เท่านี้คุณก็จะรู้สึกดื่มด่ำกับการจิบชาที่เหมาะสมกับตัวเอง
A cup of tea
สำหรับคนที่สนใจดื่มชา มีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการชงและดื่มชามาฝากค่ะ
- อุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสำหรับชงชาอยู่ที่ประมาณ 76 – 85 องศาเซลเซียส น้ำที่เดือดจัดเกินไปจะทำให้รสชาติชาเสียได้ หากไม่มีที่วัดอุณหภูมิอาจใช้วิธีต้มน้ำจนเดือด แล้วทิ้งไว้สัก 1-2 นาทีให้อุณหภูมิลดลงแล้วค่อยชง
- ระยะเวลาในการชงชาให้ได้ที่ ชาขาว 5-8 นาที หรืออาจนานถึง 15 นาที ชาเขียว1-3 นาที ชาดำ และชาอู่หลง 3-6 นาที ชาสมุนไพร 5-15 นาที
- การต้มชาไปพร้อมๆ กับน้ำอาจส่งผลต่อระบบการย่อยเนื่องจากความเข้มข้นของสารแทนนิน
- ชาที่ชงจากใบชาจะให้สารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าชาที่บรรจุในถุงเป็นซองๆ
- ชาทุกชนิดหากเลี่ยงได้ควรดื่มเพียวๆ หรือจะเติมมะนาวฝากก็ได้ แต่ควรงดเติมนมหรือน้ำตาลเพราะการเติมสองสิ่งนี้จะลดทอนสรรพคุณของเขา
- หลัง 5 โมงเย็นไปแล้วควรงดดื่มชาเนื่องจากชามีกาเฟอีนอาจทำให้นอนไม่หลับ ดื่มตอนเช้า ทำให้กระปรี้กระเปร่า
- ข้อมูลระบุดื่มชาวันละถ้วยช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจถึง 44% เพราะในชามีวิตามินเคที่ช่วยป้องกันการอุดตันในเส้นเลือด
credit หนังสือ THE FIRST WEALTH IS HEALTH กินดีอยู่ดี
ผู้เขียน วิมาลี วิวัฒนกุลพาณิชย์ ผู้ให้สาระ และ ความรู้ที่น่าสนใจ