กระดูกไหปลาร้าหัก วิธีรักษา

กระดูกไหปลาร้าหัก วิธีรักษา

กระดูกไหปลาร้าหัก วิธีรักษา

กระดูกไหปลาร้า เป็นตำแหน่งที่พบกระดูกหักได้บ่อย แต่มักไม่ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรง และ ไม่ค่อยพบภาวะแทรกซ้อน ยกเว้น เวลาหายแล้ว จะมีกระดูกติดซ้อนกันทำให้กระดูกนูนขึ้น ไม่เรียบเหมือนปกติ

กระดูกไหปลาร้าหักมักเกิดจากการเอามือเท้าพื้นขณะเกิดอุบัติเหตุ หรือ ถูกกระแทกโดยตรงที่กระดูกไหปลาร้า บริเวณกระดูกที่หัก จะมีอาการปวด โดยเฉพาะเมื่อต้องขยับไหล่ ขยับแขน หรือ เวลาหายใจแรง ๆ และจะมีอาการบวม กดเจ็บ หรือ คลำได้ปลายกระดูกที่หัก บางครั้งอาจได้ยินเสียงกระดูกเสียดสีกันเวลาขยับไหล่

วิธีรักษามีหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป แพทย์จะแนะนำวิธีรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน ดังนั้นจึงควรปรึกษาและสอบถามรายละเอียดกับแพทย์ผู้ให้การรักษาท่านโดยตรงอีกครั้งหนึ่งว่า ควรจะรักษาด้วยวิธีไหนมีข้อดีข้อเสียอย่างไร และถ้าจะเลือกรักษาวิธีอื่นผลจะเป็นอย่างไร เพื่อท่านจะได้ทราบถึงวิธีรักษาและ ให้ความร่วมมือในการรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ การตัดสินใจขั้นสุดท้ายที่จะเลือกรักษาวิธีไหนนั้น ท่านต้องตัดสินใจ ด้วยตนเอง

แนวทางรักษากระดูกหัก

1.วิธีไม่ผ่าตัด ผู้ป่วยโดยส่วนใหญ่มักไม่ต้องผ่าตัด

• รับประทานยาแก้ปวดลดการอักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ 
• อุปกรณ์พยุงไหล่ เช่น ผ้าสามเหลี่ยมคล้องแขน ผ้ารัดไหล่รูปเลขแปด เป็นต้น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดการเคลื่อนไหวของกระดูกหัก จะได้ไม่ปวด เท่านั้น ไม่ได้ใส่เพื่อมุ่งหวังจะทำให้กระดูกเข้าที่เหมือนปกติ ดังนั้นเมื่อรักษาหายแล้ว กระดูกจะติดผิดรูปทำให้กระดูกนูนกว่าปกติ แต่มักจะไม่มีปัญหาในการใช้งาน 
• ปกติจะใส่อุปกรณ์พยุงไหล่ไว้ประมาณ 4-6 อาทิตย์ ถ้าต้องการเอาอุปกรณ์พยุงไหล่ ออกเป็นช่วง ๆ เช่น อาบน้ำ หรือ เวลานอน ก็เอาออกได้ เพียงแต่อาจมีอาการปวดบ้างเวลาขยับไหล่

2.วิธีผ่าตัด ซึ่งอาจแบ่งเป็น

2.1 ผ่าตัดทำความสะอาดบาดแผลแต่ไม่ใส่เหล็ก แล้วใส่เครื่องพยุงไหล่ไว้ 
2.2 ผ่าตัดใส่เหล็กเพื่อยึดตรึงกระดูก มีหลายชนิดเช่น ลวด แผ่นเหล็ก แกนเหล็ก

ข้อบ่งชี้ที่ควรรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด เช่น 
• กระดูกหักหลายชิ้น หรือแตกเข้าข้อ 
• มีการเคลื่อนของกระดูกที่หักไปมาก 
• มีแผลเปิดเข้าไปถึงบริเวณกระดูกที่หัก 
• กระดูกไม่ติด และ มีอาการปวดเวลาขยับไหล่

อาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์โดยด่วน ...

1. มือบวมมาก รู้สึกชาที่บริเวณปลายนิ้วมือ หรือ รู้สึกแขนอ่อนแรง
2. ปวดไหล่ หรือ ปวดแขนมาก รับประทานยาแก้ปวดแล้วไม่ดีขึ้น 
3. มีไข้สูง แผลบวมหรือมีหนอง ปวดแผลมาก

credit นพ.พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ  thaiclinic.com

COPYRIGHT©2024 SIAMPILL ALL RIGHTS RESERVED.