เบต้าแคโรทีน เป็นสารอาหารประเภทวิตามินที่ละลายในน้ำมัน พบได้ในผักใบเขียวและผลไม้สีส้ม เหลือง และแดง เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ จึงช่วยในการมองเห็น และปรับสภาพสายตาให้เห็นได้ในที่มืดช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน ป้องกันอันตรายที่เกิดจากสภาวะแวดล้อมเป็นพิษ ต้านอนุมูลอิสระและป้องกันการเกิดมะเร็ง สร้างและรักษาเนื้อเยื่อผิวหนัง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และการเจริญเติบโตของร่างกาย
เบต้าแคโรทีน 1 โมเลกุลสามารถย่อยได้เป็นวิตามินเอ 2 โมเลกุลแต่ร่างกายสามารถเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนเป็นวิตามินเอและดูดซึมได้เพียง 1 ใน 3 ของเบต้าแคโรทีนที่ได้รับ ดังนั้นหากรับประทานยอดแคหรือผักใบเขียวเข้มอื่นๆ ก็จะได้รับเบต้าแคโรทีน และร่างกายจะเปลี่ยนให้เป็นวิตามินเอได้โดยปกติคนที่รับประทานผักและผลไม้มักจะไม่ขาดเบต้าแคโรทีน แต่พบว่าผู้ป่วยลำไส้อักเสบจะขาดเบต้าแคโรทีน
ตารางโภชนาการไม่ได้กำหนดปริมาณเบต้าแคโรทีนที่ร่างกายควรจะได้รับในแต่ละวันเอาไว้ แต่จากการศึกษาประชากร 500,000 คนที่อาศัยในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา และบางประเทศในยุโรป พบว่าได้รับเบต้าแคโรทีนจากอาหารเฉลี่ย 2-7 มิลลิกรัมต่อวัน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาแนะนำว่า คนปกติควรได้รับเบต้าแคโรทีนประมาณ 5.2 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกาแนะนำว่า ควรได้รับเบต้าแคโรทีนประมาณวันละ 6 มิลลิกรัม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของไทยแนะนำว่า ควรได้รับเบต้าแคโรทีนวันละ 4.8 มิลลิกรัมมีรายงานว่าการรับประทานสารแคโรทีน 200 มิลลิกรัมเป็นเวลา 6 เดือนไม่ปรากฏอาการข้างเคียงใด ๆ
กระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกาได้จัดอันดับอาหาร
ที่มีเบต้าแคโรทีนสูง 10 อันดับดังนี้
อาหาร |
เบต้าแคโรทีน (มิลลิกรัม / 100 กรัม) |
น้ำแครอท |
9.3 |
ฟักทองบรรจุกระป๋อง |
6.9 |
มันฝรั่งอบ |
11.5 |
มันฝรั่งต้ม |
9.4 |
ผักโขมแช่แข็ง |
7.2 |
แครอทต้ม |
8.3 |
ผักโขมบรรจุกระป๋อง |
5.9 |
มันฝรั่งบรรจุกระป๋อง |
4.8 |
แครอทต้มสุกแช่แข็ง |
8.2 |
หากร่างกายได้รับเบต้าแคโรทีนมากเกินไปจะมีอาการตัวเหลืองเรียกว่า Carotenemia คือตัวเหลืองโดยเฉพาะปลายมือและเท้า ซึ่งไม่เป็นอันตราย แต่อย่างใด เพียงแต่หยุดบริโภคเบต้าแคโรทีนสักพักอาการนี้ก็จะหายไปเอง
งานวิจัยเชิงระบาดวิทยาพบว่าผู้ที่สูบบุหรี่และรับประทานเบต้าแคโรทีนในรูปวิตามินรวมชนิดเม็ดจะเพิ่มโอกาสการเป็นมะเร็งปอดสูงขึ้น การสำรวจชาวฟินแลนด์ 30,000 คนที่สูบบุหรี่เพื่อหาความสัมพันธ์ของการเกิดโรคมะเร็งปอดกับการรับประทานเบต้าแคโรทีนเสริมนาน 6 ปี พบว่ากลุ่มผู้ที่บริโภคเบต้าแคโรทีน 20 มิลลิกรัม และวิตามินอี 50 มิลลิกรัม เพิ่มการเป็นมะเร็งปอด โดยกลุ่มที่บริโภควิตามินอีเพียงอย่างเดียวไม่เพิ่มการเป็นมะเร็งปอด
การสำรวจชาวอเมริกัน 18,314 คนที่สูบบุหรี่และทำงานในแหล่งอุตสาหกรรมแร่ใยหิน (Asbestos) เพื่อหาความสัมพันธ์ของการเกิดโรคมะเร็งปอดกับการรับประทานเบต้าแคโรทีนเสริมนาน 4 ปี พบว่ากลุ่มผู้ที่บริโภคเบต้าแคโรทีน 30 มิลลิกรัม และวิตามินเอ 25,000 เบ เพิ่มการเป็นมะเร็งปอด
การสำรวจชาวอเมริกัน 22,071 คนที่สุขภาพปกติกับการรับประทานเบต้าแคโรทีนเสริม 50 มิลลิกรัม เพื่อหาความสัมพันธ์ของการเกิดโรคมะเร็งปอดโดยศึกษานานถึง 12 ปี พบว่าคนที่สุขภาพปกติกับการรับประทานเบต้าแค่โรทีนเสริมไม่เพิ่มการเป็นมะเร็งปอด
จะเห็นได้ว่าผู้ที่ร่างกายปกติแล้วรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารร่างกายก็ปกติ ไม่เพิ่มการเป็นโรค แต่ในผู้ที่ไม่ปกติ เช่น ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง หากรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่ม โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีนเสริมยิ่งเพิ่มการเป็นมะเร็ง
บางครั้งอาจพบสารที่ชื่อว่า เบตาทีน (Betatene) เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพราะเบตาทีนเป็นสารที่ให้เบต้าแคโรทีน และเป็นสารที่สกัดได้จากสาหร่ายทะเล Dunaliella salina ซึ่งมีสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์หลายตัว โดยมีเบต้าแคโรทีนราว 10% เบตาทีนได้รับการรับรองความปลอดภัย
GRAS จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา
สุราเหล็ก และยาประเภทคอร์ติโซน ด้านฤทธิ์เบด้าแคโรทีนนอกจากนั้นพบว่าผู้ป่วยเบาหวานก็มีความบกพร่องในการเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนให้เป็นวิตามินเอ
credit ดร.เริงฤทธิ์ สัปปพันธ์